ในงานถ่ายทอดสดของเกม Destiny 2 ที่จัดขึ้นเพื่อโปรโมตเนื้อหาเสริมใหม่ “The Edge of Fate” ซึ่งจะวางจำหน่ายในวันที่ 15 กรกฎาคม ทีมพัฒนาของ Bungie ได้อธิบายถึงวิธีที่พวกเขาคาดหวังให้ผู้เล่นสามารถข้ามลำดับขั้นตอน (sequence break) เพื่อสำรวจดาวเคราะห์ใหม่ Kepler ได้อย่างอิสระ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทีมงานตั้งใจให้เกิดขึ้น
ดาวเคราะห์ Kepler ถูกออกแบบให้มีความลึกซึ้งและซับซ้อนในระดับเดียวกับเนื้อหา “Rise of Iron” ในเกมต้นฉบับปี 2016 ที่เต็มไปด้วยปริศนาและความลับมากมายที่รอการค้นพบ เนื้อหาใน “The Edge of Fate” ถูกวางแผนให้ภารกิจหลักค่อยๆ นำผู้เล่นไปสู่การปลดล็อกความสามารถต่างๆ และระดับของความสามารถเหล่านั้น พร้อมกับเปิดพื้นที่ใหม่ๆ ให้สำรวจบน Kepler
ในเกมมีปริศนาที่ต้องแก้ไขและความลับที่ต้องค้นหา รวมถึงเส้นทางพิเศษที่ไม่สามารถเข้าถึงได้หากไม่ใช้ความสามารถเฉพาะ เช่น Matterspark ที่ช่วยให้ผู้เล่นย่อขนาดตัวและผ่านช่องระบายอากาศหรือเส้นทางลับได้ ทีมพัฒนาชี้แจงว่าการออกแบบนี้มีจุดประสงค์เพื่อสอนให้ผู้เล่นมองและคิดในมุมมองที่แตกต่างเกี่ยวกับโลกในเกม
หลังจากทำภารกิจหลักเสร็จสิ้น ผู้เล่นสามารถปลดล็อกความสามารถได้ทุกที่ ซึ่งหมายความว่าสามารถข้ามลำดับขั้นตอนในการแก้ปริศนาและทำภารกิจได้ ทีม Bungie ยืนยันว่านี่เป็นสิ่งที่ตั้งใจทำอย่างเต็มที่ และพวกเขาตั้งตารอที่จะเห็นว่าผู้เล่นจะสามารถสร้างสรรค์วิธีการเล่นใหม่ๆ นอกเหนือจากที่ทีมงานทดสอบได้อย่างไร
Robbie Stevens ผู้ช่วยผู้อำนวยการเกม Destiny 2 กล่าวว่า “เราไม่แน่ใจว่าผู้เล่นจะข้ามลำดับขั้นตอนไปที่ไหนบ้าง แต่สิ่งนี้คือสิ่งที่เราตั้งใจให้เกิดขึ้น”
นอกจากนี้ Bungie ยังได้กำหนดขอบเขตที่เข้มงวดมากขึ้นสำหรับเนื้อหาการบุก (raid) โดยมีการจำกัดการใช้ไอเท็มและความสามารถบางอย่างในโหมดแข่งขัน (Contest Mode) ในงานถ่ายทอดสดยังมีการประกาศวันเริ่มต้นโหมดแข่งขันของ “The Edge of Fate” raid และแนะนำระบบ raid แบบใหม่ที่จะเปิดตัวไม่นานหลังจากการวางจำหน่าย
การเปิดโอกาสให้ผู้เล่น “เจาะระบบ” หรือข้ามลำดับขั้นตอนใน Destiny 2 นี้ ถือเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ที่น่าตื่นเต้นและน่าจับตามองสำหรับชุมชนเกม
—
แหล่งข้อมูล: GameSpot, Bungie